Project Defense Mechanism #2 Restitution
Flames to dust Lovers to friends Why do all good things come to an end? ….
ผู้เข้าชมรวม
107
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
แบงค์ยี่สิบถูกควักจากกระเป๋าตังย่อยเพื่อจ่ายค่าโดยสารเรือข้ามฟากที่แหลมบาลีฮาย
ฉันกำลังจะเดินทางไปที่เกาะล้าน เกาะล้านคงเป็นเกาะกลางทะเลแห่งเดียวที่ฉันสามารถไปได้ในตอนนี้
ด้วยค่าที่เงินในกระเป๋าไม่เพียงพอที่จะไปเล่นน้ำทะเลมรกตที่เกาะช้างตามที่ ฝันไว้ได้ อืม...เกาะล้านกับเกาะช้างออกเสียงใกล้ๆกันน่ะ ^.^
บนเรือมีนักท่องเที่ยวบางตาอยู่ปะปนกับคนในพื้นที่ที่ใช้บริการเรือข้ามฟาก เป็นประจำตามปกติ แสงแดดใกล้เที่ยงสะท้อนพื้นน้ำแสบตาแสงแดดคงร้อนมากเกินไป ที่นั่งแถวสุดท้ายจึงถูกจับจองโดยฉันเพียงคนเดียว คลื่นทะเลกระเซ็นขึ้นมาเป็นระยะ หากแต่ร่างกายของฉันตอนนี้ต้องการทะเลเป็นที่สุดจึงไม่คิดที่จะลุกหนีไปไหน
ใช้เวลาพอสมควรเลยสำหรับการโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ของ MMS ปรากฏว่าเป็นรูปของฉันที่ถ่ายจากมุมข้างและดูเหมือนจะถูกถ่ายขึ้นบนเรือลำ นี้และเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นก็เป็นเขาเองที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
ท้องฟ้าสวยกว่าที่เคย ส่วนทะเลก็ดูใสกว่าก่อน เราตัดสินใจที่จะพักห้องเดียวกัน ด้วยที่พักบนหาดนวลเหลือแต่บ้านหลังใหญ่ขนาด 3 เตียงนอน มันคงจะไม่น่าเกลียดมากนักหากเราจะร่วมห้องกัน และพี่อามก็ดูเป็นคนสุภาพพอตัว และฉันเองก็ชอบผู้ชายนัยตาสีน้ำตาลซึ่งก็คือเขาเอง ^^ บ่าย 3 โมง แดดคล้อยบ่ายหาดทรายดูกว้างขึ้นกว่าเมื่อเช้าเพราะระดับน้ำทะเลลดลงไป
ฉันอยู่ในชุดว่ายน้ำ 2 ชิ้นแบบสปอร์ตสีเทา สวมทับด้วยกางเกงขาสั้นสีขาวนึงเพื่อเรียกความมั่นใจ
สี ขาวขอกางเกงตัดกับผิวน้ำผึ้งของฉันทำให้มันดูเด่นขึ้นมาเลยทีเดียว พี่อามแซวว่าฉันแต่งตัวเป็นเด็กพลางชี้ให้ดูแหม่มตาน้ำข้าวที่นอนอาบแดด เรียงรายกันบนเตียงสนาม บิกินี่เส้นสปาเก็ตตี้สีสันสดใสมันไม่ได้ช่วยปกปิดเนื้อนวลของพวกหล่อนได้ มากนัก แต่ก็นับได้ว่าเป็นอาหารตาชั้นเยี่ยมเลยทีเดียว
พี่อามบอกว่าแบบ นี้แหละเค้าเรียกว่าแต่งกายถูกกาลเทศะ ส่วนพี่อามก็แต่งตัวง่ายๆ เพราะมีแค่เพียงกางเกงขาสามส่วนลายดอกสีส้มตัดกับผิวขาวๆตามแบบฉบับหนุ่มไทย เชื้อสายจีน เราเล่นจับปูลมสลับกับการถ่ายรูปกันตลอดทั้งบ่าย
เหล่านักท่องเที่ยวคงต้องการที่จะตะเวนราตรีดูแสงสียามค่ำคืนในตัวพัทยามากกว่า
ฉันลืมตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ลมลมอุ่นๆ ใกล้ๆริมฝีปากของฉัน เป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขาเองเมื่อฉันทะลึ่งตัวขึ้นแสดงอาการตกใจ พี่อามฉุดฉันให้ยืนขึ้น กึ่งลากกึ่งจูงลงไปยังพื้นทะเล ฉันไม่อาจต้านทานแรงของเขาได้เลย เขาจับฉันโยนลงไปในทะเล การแก้แค้นแบบเด็กๆ จึงเกิดขึ้นและตบท้ายด้วยเราโอบกอดกันท่ามกลางอ้อมกอดของเกลียวคลื่นอีกที จนตะวันลับตาไป บรรยากาศที่เป็นใจ เราเองคงเผลอตัวไป....ฉันคิดอย่างนั้น
3 ทุ่มแล้ว บนเกาะล้านนี้เงียบสงบสมคำบอกเล่า ฉันออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้าน ค่าที่ต้องการให้เขาหลับไปก่อนแล้วฉันจึงจะเข้านอน ข้างม้าหินออกตรงทางลงหาดมีเตียงสนามตั้งอยู่หนึ่งตัว
ฉันจึงเลือกมัน เป็นทำเลในการหย่อนใจ มีแสงไฟสีส้มดวงเล็กสาดมาจากมุมหนึ่งของชายหาด เปลี่ยนตำแหน่งซ้ายขวาไปเรื่อยๆจนแสงไฟนั้นเข้ามาใกล้ ฉันรับรู้ได้ว่าเป็นแสงไฟจากปลายกระบอกไฟฉายของนักขุดทองประจำชายหาดที่มา พร้อมกับเครื่องตรวจจับโลหะพลังงานแบตเตอรี่ที่ทำขึ้นเองและหากเขาโชคดีที่ เครื่องตรวจจับโลหะนั้นตรวจจับโลหะมีค่าสีทองได้ นั่นคงหมายถึงปากท้องของเขาและครอบครัว
ชายนักขุดทองเงยขึ้นมามองฉันที่อยู่ข้างบน แสงจันทร์คืนนี้สว่างพอที่จะเห็นได้ว่าเขายิ้มให้ฉัน
ฉันจึงยิ้มตอบกลับไปเป็นไมตรีจากคนแปลกหน้าที่ให้แก่กันและกัน
แสงไฟนั้นจากไปแล้ว ฉันจึงค่อยๆเดินลงมายังชายหาดโดยอาศัยแสงจากพระจันทร์เป็นเครื่องนำทาง อยากจะฟังเสียงคลื่นกระซิบบอกรักกับหาดทรายขาวใต้เงาจันทร์ ตามที่ได้อ่านบ่อยๆในหนังสือนิยายเพ้อฝัน คนเขียนนี่เขาก็เก่งจังที่ไปแอบได้ยินมันคุยกันจนได้ ฉันลองนอนหลับตาฟังเสียงนั้น
เสียงคลื่นกระทบฝั่งปลุกให้ฉันตื่นจากฝัน ฝันที่มีเขาพาไปเที่ยวเหนือฟองคลื่น ใต้เงาจันทร์เราสัมผัสมือกัน ท่ามกลางเกลียวคลื่นร่างกายของเราแนบชิดกันโดยปล่อยให้ความรู้สึกที่มีต่อ กันเป็นเครื่องนำทาง ฉันปรับสายตาในความมืดแล้วพบว่าฟองคลื่นมันซัดขึ้นมาเกือบจะครึ่งตัวของฉัน ความตายเกือบจะได้สัมผัสฉันเราอยู่ห่างกันแค่เพียงปลายจมูก มีมือของใครคนนึงแตะมาที่ไหล่ฉันเบาๆ เป็นเขาเองที่อยู่กับฉันบนชาดหาด หรือว่าฉันไม่ได้ฝันไป...
ฉันปิดสมุดบันทึกเมื่อ 3 ปีที่แล้วไว้เพียงเท่านั้น...
.....................................................................................................................................................................
เวลาล่วงไปจนเกือบตีสองแล้ว
ฉันยังคงอยู่กับพี่อามบนถนนกลางกรุง มุ่งหน้าสู่ที่พักของฉัน
จากนั้นเขาก็ต้องตีรถกลับไปที่ชลบุรีเพื่อไปทำงานในเช้ารุ่งขึ้นโดยไม่ฟังคำทัดทานของฉันเลย
ไม่มีบทสนทนาอื่นใด นอกจากเสียงเพลงจากแผ่นซีดีโปรดบนรถที่ดังขึ้น
Honestly what will become of me
don't like reality
It's way too clear to me
But really life is dandy
We are what we don't see
Missed everything daydreaming
Flames to dust
Lovers to friends
Why do all good things come to an end? ….
Flames to dust
Lovers to friends
Why do all good things come to an end? ….
Why do all good things come to an end? …
come to an end? ….
“ จากเปลวไฟกลายเป็นเถ้าถ่าน รินยังพอจะเข้าใจได้ แต่จากคนรักแปรเปลี่ยนเป็นเพียงเพื่อนมันยากเกินที่จะเข้าใจได้ รินคงทนไม่ได้หากเป็นแบบนั้นสู้ว่าถ้าไม่รักกันแล้วก็เป็นอื่นไปยังจะดีกว่า ”
ฉันพูดเพียงเท่านั้นแล้วเงียบไปเขาเหลือบตามามองหน้าฉันนิดนึงก่อนที่จะตอบรับ
“ครับ ” เขาตอบรับเพียงแค่นั้น
สามปีที่แล้วเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของกันลัน คงเป็นเพราะว่าเราชอบอะไรที่คล้ายคลึงกัน ตลอดเวลา 3 ปีที่เราคบกันเราสองคนจัดสรรเวลาให้กันได้อย่างลงตัวโดยที่โลกของฉันและเขา ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมเราให้อิสระแก่กันและกัน และหากในวันธรรมดาที่เขาต้องเขามาสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพประจำทุกอาทิตย์มัน จะเป็นเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน และในช่วงเสาร์อาทิตย์ที่เราว่างตรงกัน เราก็จะมีโปรแกรมไปเที่ยวในที่ต่างๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ...ไม่มีใครเลยที่ จะรู้เรื่องของเรา
ในที่สุดเขาก็มาฉันมาส่งถึงลานจอดรถชั้นสามของคอนโด เข็มนาฬิกาบอกเวลาเลยตีสองมายี่สิบกว่านาที
“ ขับรถดีๆ นะคะพี่อาม ” ฉันกล่าวคำอำลา
“ ขับดีอยู่แล้ว ” น้ำเสียงล้อเลียนตอบกลับมาพร้อมกับมือกอดอกที่ฉันเห็นจนชินตา
“ รินจะไม่ตื้อพี่อีกซักครั้งหรอ? ” เขาทำเสียงอ้อน
“ ไม่อ่ะ ” ฉันตอบกลับไป
แทนคำพูดอื่นใด เขาโน้มตัวมาหาฉันและจูบประทับลงที่ริมฝีปาก มือที่ซุกซนไล่ไปตามเนื้อตัว
ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง อุณหภูมิในรถที่เย็นฉ่ำตรงกันข้ามกับอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนฉ่า เราสลับตำแหน่งกันเล็กน้อยด้วยค่าที่ฉันตัวเล็กกว่าเขา อะไรๆคงจะง่ายขึ้นถ้าหากจะมีการเคลื่อนไหวในที่แคบๆ ฉันจ้องมองริมฝีปากที่ขบแน่นเข้าหากันของเขา แววตาที่ฉายความขี้เล่นส่งกลับมาจากดวงตาสีน้ำตาลที่ฉันรัก บวกกับความรู้สึกที่ล่องลอยเหนือกลบเมฆที่บางเบา ฉันหลงรักมันจนแทบอยากจะกระโจนไปให้สูงขึ้นและเร็วขึ้น
แต่เพียงไม่นานฉันก็ทรุดลงกอดเค้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อที่โทรมกาย
แล้วเราก็บอกลากันด้วยรอยยิ้ม....
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เช้านี้ก็เหมือนกับทุกวัน ฉันเดินทางมาถึงที่ทำงานก่อนครึ่งชั่วโมงเพื่อเปิดเคาท์เตอร์หน้าสำนักงานฉันเปิดเครื่องตอบรับตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ และไม่ลืมที่จะเปิดไฟตู้ปลาที่เต็มไปด้วยกุ้งเลี้ยงพันธุ์เล็กสีส้มสด มันทำให้ฉันนึกถึงทะเลเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนเวลา 08.30 น. เพียงเล็กน้อย
“ แอ็คทีฟ เอ็นจิเนียริ่งสวัสดีค่ะ ต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ ” ฉันกรอกเสียงที่ตั้งใจทำให้ใสลงไป
“ รินมาทำงานแล้วหรอ ” ปลายสายเป็นเสียงของพี่อาม
“ ค่ะ....พี่อามจะคุยกับใครหรอ? ” ฉันถามกลับ
“ มีจดหมายจากไซต์งานพี่ไปถึงหรือยัง ปกติใครเป็นคนแยกส่งแผนก ”
เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรน
“ ป้าอันป้าแม่บ้านเป็นคนแยกส่งค่ะ พี่อามมีอะไรหรือเปล่า? ”
ไม่มีคำตอบจากปลายสาย หากแต่เขาเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น แล้วลงท้ายด้วยคำบอกรัก
..............................................................................................................................................................................
คุณโอ๊ต วิศวกรไซต์งานเจ้าพระยาแวะทักทายฉันที่เคาท์เตอร์ เราจึงตกลงใจไปทานข้าวเที่ยวด้วยกันที่ร้านข้าวมันไก่ปากซอยอารีย์ และก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขาเข้ามา จนคนอื่นๆเข้าใจว่าเราสองคนกำลังคบหากันอยู่
“ ร้านนี้อร่อยน่ะ มีโอกาสทีไรก็อยากมา ” เขาตอบพลางตักหนังได่ที่ฉันแยกออกไว้ที่ขอบจานไปกิน การกระทำเช่นนี้เป็นการให้ความสนิดสนมหรือแสดงความเป็นตัวของตัวเองใส่กัน ฉันเองก็แยกไม่ออก รู้แต่เพียงว่าคุณโอ๊ตเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิดกับฉันและค่อยช่วยเหลือกัน ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานในกรุงเทพใหม่ๆ
“ คุณโอ๊ตสั่งข้าวมันหมูแดงให้หน่อยดิ ” ฉันไม่อยากให้โต๊ะอื่นมองว่าฉันเป็นคนกินจุ
จึงไหว้วานตัวตายตัวแทน
“ ผมจะเลี้ยงรินไหวมั๊ยนี่ กินจุแบบนี้ ” เรามักจะพูดเล่นกันแบบนี้เป็นประจำ
เด็กเสิร์ฟวางจานข้าวมันหมูแดงตรงหน้าเขา
เขาตักพริกดองใส่ลงไปเต็มจานโดยไม่ลืมที่จะรินน้ำซีอิ๊วหวานออกทิ้ง ก่อนที่จะยกจานนั้นมาวางตรงหน้าของฉัน
“ รินเลี้ยงง่าย เอ๊ยกินง่ายจัง ” เขาบอก
“ เมื่อกี้ยังบอกว่าเลี้ยงรินไม่ไหวอยู่เลย ” ฉันย้อนกลับไปอย่างทีเล่นทีจริง
“ รินยังไม่รู้อีกหรอว่าพี่ตามจีบรินอยู่ นี่ก็ 2 ปีแล้วนะ เนี๊ยถ้าทำได้นะพี่จะขอรินวันนี้แล้วแต่งกันพรุ่งนี้เลย ” เขาตอบกลับมาได้แสบไม่แพ้กัน
“ ขอกันในร้านข้าวมันไก่นี่นะ ” คำพูดของฉันนั้นเรียกเสียงหัวเราะของเราสองคนได้ดีเลยทีเดียว
“ เมื่อกี้ตอนแยกจดหมายรินเห็นการ์ดแต่งงานเต็มไปหมด อย่าบอกนะว่าเป็นการ์ดงานแต่งของเราน่ะ ” ฉันตบมุกซ้ำไปอีกรอบ แทนคำตอบเขายื่นซองปริศนานั้นมาให้
“ นางสาวปวริศา แก้วมั่น สมรักสมรส นายเอกพล จตุรงควุฒิ ”
เสียงที่ออกจากริมฝีปากของฉันจับใจความได้ว่าเป็นชื่อของพี่อาม
“ พี่อาม? ” ฉันออกเสียงเป็นคำถามเพื่อความแน่ใจ
“ รินรู้จักกับอามหรอ? ” คุณโอ๊ตถามกลับมา
“ อ๋อ! พี่อามเค้าเคยทักทายรินบ่อยตอนเข้ามาน่ะค่ะ เขาชอบเอาปลาเส้นมาฝาก ”
ฉันตอบไปแก้เก้อ
“ ริน....คืนนี้ไปเที่ยวฟังกี้ วิลล่า กับพี่นะ ” เป็นหนึ่งในหลายครั้งที่เขาพยายามชวนฉันไปเที่ยวกลางคืน
“ ไม่ไปได้มั๊ย รินเคยบอกแล้วว่ารินเมาแล้วเรื้อน ” ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากไป แต่เวลาที่ฉันเมาทีไร ฉันมักจะเป็นแบบนั้นจริงๆ นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนอีก
“ เดี๊ยวผมดูแลรินเอง มีผู้หญิงไปด้วยเห็นอามมันก็ว่าจะพาแฟนมันมาด้วย ให้ผมไปรับรินนะ ”
“ รินไปเองดีกว่า ตอนกลับพี่โอ๊ตค่อยมาส่งรินแล้วกัน ” ฉันเปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาทันทีซึ่งสร้างความแปลกใจให้เขาได้ไม่น้อย
“ สงสัยว่ามนต์ข้าวมันไก่ของผมจะได้ผลแล้ว รินยอมเรียกผมว่าพี่ ” เมื่อเขาพูดจบ ฉันยิ้มไปแทนคำตอบ
.......................................................................................................................................
ฉันเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของพี่อามทั้งหมดโยนลงลังกระดาษ แล้วโทรให้ รปภ.ขึ้นมารับไป
นาฬิกาบอกเวลา 2ทุ่มครึ่ง คุณโอ๊ตโทรเข้ามาตื้อที่จะเข้ามารับฉัน
“ รินไปเองดีกว่าค่ะ ตอนกลับพี่โอ๊ตค่อยมาส่งแล้วกัน อยากส่งถึงตรงไหนรินจะไม่ห้ามเลยอ่ะ ” ฉันกรอกเสียงผ่านสายโทรศัพท์
“ วันนี้รินมาแปลกนะพี่ว่า ” สำเนียงสงสัยของเขาถูกส่งผ่านสายโทรศัพท์เช่นกัน
ฉันจึงหัวเราะแทนคำตัวแล้วเราก็วางสายจากกัน
................................................................................................................................................................................
ฉันบรรจงอาบน้ำนานเป็นพิเศษ
ด้วยอยากให้กลิ่นน้ำผึ้งของสบู่แหลวติดแน่นที่ตัวฉันราวกับเป็นกลิ่นเนื้อ
กลิ่นสบู่แหลวที่เขาเคยชอบ วันนี้มันจะไม่ใช่เพราะฉันไม่อนุญาต
ชุดสีดำถูกเลือกใส่ไปในคืนนี้ เข้ากับสโมคกี้อายและริมฝีปากสีแดงสดเข้าเทรนด์
ผิวสัมผัสของผิวผ้าเย็นและลื่นคล้ายสัมผัสที่คุ้นเคย
ยามที่ฉันเต้นรำไปตามจังหวะเพลงคล้ายเหมือนถูกโอบกอดด้วยตัวโน๊ตดนตรี
ฉันดูโดดเด่นท่ามกลางหมู่เพื่อนของเขา สนุกกับการแนะนำตัวและได้รู้จักกับคนใหม่ๆที่อยู่ต่างไซต์งาน
แต่ฉันก็ไม่มีโอกาสที่จะทำความรู้จักกับคนของเขา เพราะเธอคนนั้นไม่ได้ตามมาด้วย
คุณโอ๊ตโอบเอวของฉัน เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาเข้ามาใกล้ชิดกับฉันจนเกินไป
จนดูคล้ายกับเด็กที่หวงของเล่น ฉันไม่คิดจะถือสากับการกระทำฉัน มันทำห้ฉันร้สึกว่าเหมือนถูกปกป้อง
หากแต่มีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ฉัน ฉันเองรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิที่จะพูดอะไร
และฉันเองก็รู้ดีเช่นกัน ว่าฉันเองก้ไม่มีสิทธิจะพูดอะไรทำได้แค่เพียงปิดปากเงียบ
ชาเขียวรสน้ำผึ้งผสมมะนาวถูกใช้ผสมแทนมิกซ์เซอร์จำพวกโซดา
โมเลกุลจากน้ำตาลมันสามารถซึมซับเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายและเกือบจะทันที
ความหวานจึงช่วยเพิ่มดีกรีของแอลกอฮอลล์ในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ฉันทรงตัวด้วยตัวเองได้ไม่ดีนัก คุณโอ๊ตจึงต้องประคองตัวฉันอยู่เรื่อยๆ พลางห้ามไม่ให้ฉันดื่มเพิ่มเข้าไปอีก
ฉันหมุนตัวกลับเข้าหาเขาแล้วโอบไปที่รอบคอของเขา หน้าของเราเกือบจะชิดกัน
เขายืนแข็งทื่อจนฉันเองต้องเป็นฝ่ายจับมือของเขามาวางที่สะโพกของฉัน แทนคำพูดอื่นใด
เป็นฉันเองที่โน้มคอเขาลงมาแล้วบรรจงประทับริมฝีปากลงไป
กลิ่นลมหายใจระคนกับลิ่นแอลกอฮอลล์ ทำให้เลือดในร่างกายของฉันสูบฉีด
และฉันเชื่อว่าเขาเองก็เช่นกัน เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ยังไม่ถือโอกาสตอนฉันเมา เขากลับพาฉันไปหาทีนั่งข้างนอก ให้ฉันได้รับอากาศที่สดชื่นกว่าข้างใน
เขาทำตามอย่างที่เขาบอกไว้กับฉันจริงๆ เมื่อฉันรู้สึกดีขึ้นเราจึงพากันกลับเข้าไปข้างใน
“ รินไม่เคยถือสาความเดียงสาของสัญชาตญาณ” ฉันกระซิบบอกเขา
“ พี่ขอเป็นคนที่จะคอยดูแลรินต่อไปมั๊ย? ” เขากระซิบบอกกลับมาเช่นกัน ฉันพยายามมองหาความหมายในแววตาคู่นั้น คู่ที่ฉันเคยเห็นว่ามันมีสีน้ำตาลเช่นกัน
แต่คราวนี้เป็นเขาเองที่ดันตัวฉันให้ชิดกับกำแพงของร้านและเป็นเขาเองที่ก้ม ลงมาประกบริมฝีปากอุ่นๆ ลงมาที่ฉัน ภูเขาน้ำแข็งของกันและกันเริ่มเผยพ้นผิวน้ำตามทฤษฎีของ *ซิกมุนด์ ฟรอยด์
ไม่มีแม้แต่เวลาจะคร่ำครวญฉันบอกกับตัวเองเช่นนั้น มีเพียงรอยยิ้มที่ฉาบบางๆบนใบหน้า
เสมือนหน้ากากหนาๆที่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง นอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไร ฉันไม่มีแม้แต่คำตอบสำหรับวันพรุ่งนี้
................................................................................................................................................................................
Defence mechanism คือกลไกการป้องกันตนเองทางจิตของ มนุษย์
เป็นการหาทางออกให้กับจิตใจ เมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่เลวร้าย หรือเป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองเพื่อแก้ไขความสับสนในจิตใจ
หรือการต่อต้านความเจ็บปวดของจิต มีหลายลักษณะ ดังนี้
ในเรื่องนี้ใช้
Restitution เป็นการทดแทนโดยใช้สิ่งที่คล้ายกันมาแทน เช่น สุนัขตายไป จึงซื้อตัวใหม่
ผลงานอื่นๆ ของ Pim_P ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Pim_P
ความคิดเห็น